รีเลย์ (Relay) อุปกรณ์ที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยใช้งาน หรือเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า มีส่วนประกอบ มีหลักการทำงาน และควรเลือกซื้อรีเลย์มาใช้งานอย่างไรให้เหมาะสมกับประเภทงานมากที่สุด ในบทความนี้เราได้หาคำตอบเรื่องน่ารู้เหล่านี้มาฝากทุกคนกันด้วย ตามมาอ่านกันได้เลย
รีเลย์ (Relay) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายในวงจรควบคุมอัตโนมัติ โดยจะทำหน้าที่เปรียบเสมือนสวิตซ์ไฟ ที่ใช้แรงดันไฟฟ้าในการเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เพื่อควบคุมวงจรอัตโนมัติ หากเกิดข้อผิดพลาดระหว่างวงจรไฟฟ้า รีเลย์ จะทำการสั่งให้เบรกเกอร์ตัดวงจรไฟฟ้าทันที เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานนั่นเอง
ขดลวด (Coil) มีหน้าที่รับแรงดันไฟฟ้าจากวงจรควบคุม หรือสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อเหนี่ยวนำกระไฟฟ้าให้เป็นเปลี่ยนพลังงานแม่เหล็ก เพื่อส่งต่อไปยังหน้าสัมผัส (Contact)
หน้าสัมผัส (Contact) ทำหน้าที่เหมือนสวิตซ์ไฟ โดยจะทำการกำหนดทิศทางการกระจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ที่ต้องการ หรือกำหนดค่าเอาไว้
รีเลย์ (Relay) อุปกรณ์สำหรับ เปิด-ปิด อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ในวงจรควบคุมอัตโนมัติ อย่างปลอดภัย เมื่อกระแสไฟฟ้าสูงถึงในระดับหนึ่งทำให้เกิดประกายไฟฟ้า (Arc) ที่หน้าสัมผัส (Contacts) ของ Relay ทำให้เกิดการสึกหรอที่หน้าสัมผัส (Contacts) เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
Relay Module D-SERIES แบรนด์ Weidmuller สามารถช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการต่อ Contacts (หน้าสัมผัส) แบบ Series พร้อมมี blow magnets ในตัว ช่วยทำให้เกิดการสึกหรอน้อยลง พร้อมมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบที่เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน และการใช้งานสะดวกมากขึ้น ทำให้ Relay Module D-SERIES สามารถนำมาใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น และมีคุณสมบัติที่น่าสนใจ ดังนี้
• สามารถควบคุมแรงดันไฟฟ้าตั้งแต่ 12 V ถึง 230 V
• สามารถสลับกระแสจาก 5 A เป็น 30 A
• มีไฟ LED ในตัว พร้อมแสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่องอย่างชัดเจน
• มีทั้งแบบ Screw และ Push In เพื่อการเชื่อมต่อที่แน่นยิ่งกว่า
สำหรับงานอุตสาหกรรม ขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง มีความกว้าง 16 มม.
• 1 Contacts (หน้าสัมผัส) ขนาด 10A และ 2 Contacts (หน้าสัมผัส) ขนาด 5A
• มีไฟ LED ในตัวเครื่อง พร้อมแสดงสถานะการทำงานชัดเจน
• มีปุ่มทดสอบแรงดันไฟฟ้า แบ่งออกเป็น AC coil: สีแดง และ DC coil: สีน้ำเงิน
• มีทั้งแบบ Screw และ Push In เพื่อการเชื่อมต่อที่แน่นยิ่งกว่า
สำหรับงานอุตสาหกรรม ดีไซน์กะทัดรัด มีความกว้างขนาด 25 มม.
• มีขนาด 2 และ 4 Contacts (หน้าสัมผัส) ให้เลือก และรับ Load ได้มากถึง 10A
• มีไฟ LED ในตัวเครื่อง พร้อมแสดงสถานะการทำงานชัดเจน
• มีปุ่มทดสอบแรงดันไฟฟ้า แบ่งออกเป็น AC coil: สีแดง และ DC coil: สีน้ำเงิน
• มีทั้งแบบ Screw และ Push In เพื่อการเชื่อมต่อที่แน่นยิ่งกว่า
สำหรับงานทั่วไปและงานอุตสาหกรรม มีความกว้าง 38 มม. แข็งแกร่ง และทนทานมากยิ่งกว่าเดิม
• มีขนาด 2 และ 3 Contacts (หน้าสัมผัส) ให้เลือก และรับ Load ได้มากถึง 10A
• วัสดุหน้าสัมผัสเป็นแบบ AgNi
• มีไฟ LED ในตัวเครื่อง พร้อมแสดงสถานะการทำงานชัดเจน (AC coil: สีแดง, DC coil: สีเขียว)
• รีเลย์ อุตสาหกรรมที่มีความทนทาน และนำมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย
มีขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่การติดตั้ง มีความกว้าง 24 มม. มีวัสดุหน้าสัมผัส (contacts) ที่ทนต่อการสึกหรอ และสลับโหลดได้อย่างปลอดภัย
• มีขนาด 1,2,3 และ 4 Contacts (หน้าสัมผัส) ให้เลือก และรับ Load ได้มากถึง 16A
• วัสดุหน้าสัมผัสเป็นแบบ AgCdO ทนต่อการสึกหรอได้ดี
• มีไฟ LED ในตัวเครื่อง พร้อมแสดงสถานะการทำงานชัดเจน
มีความกว้าง 39 มม. มาพร้อมกับหน้าสัมผัสที่ทนทานต่อการสึกหรอ และช่องเปิดหน้าสัมผัสขนาดใหญ่ (แข็งแกร่ง และทนทานมากที่สุด)
• มีขนาด 2 และ 3 Contacts (หน้าสัมผัส) ให้เลือก และรับ Load ได้
• วัสดุหน้าสัมผัสเป็นแบบ AgCdO ทนต่อการสึกหรอ
• มีไฟ LED ในตัวเครื่อง พร้อมแสดงสถานะการทำงานชัดเจน
ดูจากแรงดันของขดลวดไฟฟ้า เนื่องจากแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายให้กับขดลวดให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของหน้าสัมผัสนั้น เราต้องดูจากขนิดของแรงดันด้วยว่าเป็นแบบ AC หรือ DC เนื่องจากไม่สามารถใช้งานสลับกันได้นั่นเอง
กระแสไฟฟ้า เราจำเป็นที่ต้องดูหน้าสัมผัส (contact) ด้วยว่าสามารถรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดเท่าไหร่ เพราะหากเราเลือกใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงเกิดกว่าหน้าสัมผัส (contact) ของ Relay อาจจะทำให้เครื่องพัง หรือเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานได้ เช่น 10A, 220VAC คือ หน้าสัมผัส (contact) ทนกระแสไฟฟ้าสูงสุดได้ที่ 10A และรับแรงดันไฟฟ้าได้ 220VAC เป็นต้น
ต่อพ่วงแบบพอดี ดูจำนวนของหน้าสัมผัส (contact) ด้วย กล่าวคือ เราควรใช้หน้าสัมผัส (contact) 1 ตำแหน่ง ต่ออุปกรณ์ 1 ตัวเท่านั้น เพราะถ้าหากต่อพ่วงมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบได้
1. ทำให้ระบบส่งกำลังมีความเสถียรภาพมากขึ้น โดย Relay จะตัดวงจรควบคุมอัตโนมัติเฉพาะส่วนที่เกิดความผิดปกติออกเท่านั้น เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
2. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม หรือบำรุงรักษาส่วนต่าง ๆ ได้
3. ทำให้ระบบไฟฟ้าไม่ต้องดับ หรือเสียหายทั้งระบบ เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นในระบบ
อ้างอิงข้อมูลจาก: https://www.weidmuller.com/en/products/electronics/relay_modules_solid_state_relays/relay_modules/d_series.jsp